เมนู

อวิชชาวรรคที่ 3



1. สมุทยธรรมสูตรที่ 1



ว่าด้วยความของอวิชชา และวิชชา



[320] กรุงสาวัตถี. ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ฯลฯ ครั้นแล้ว เธอได้นั่ง ณ ที่สมควร
ส่วนข้างหนึ่ง ได้ทูลถามคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ที่เรียกว่า อวิชชา อวิชชา ดังนี้ อวิชชาเป็นไฉนหนอแล และ
บุคคลเป็นผู้ประกอบด้วยอวิชชา ด้วยเหตุเพียงเท่าไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนภิกษุ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ
แล้วในโลกนี้ ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งรูปอันมีความเกิดขึ้น
เป็นธรรมดาว่า รูปมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ย่อมไม่รู้ชัดตาม
ความเป็นจริง ซึ่งรูปอันมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดาว่า รูปมีความเสื่อม
ไปเป็นธรรมดา ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งรูปอันมีความเกิดขึ้น
และความเสื่อมไปเป็นธรรมดาว่า รูปมีความเกิดขึ้น และความเสื่อมไป
เป็นธรรมดา ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งเวทนา... ย่อมไม่รู้ชัด
ตามความเป็นจริงซึ่งสัญญา... ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่ง
สังขาร...ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งวิญญาณ อันมีความเกิดขึ้น
เป็นธรรมดาว่า วิญญาณมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ย่อมไม่รู้ชัดตาม
ความเป็นจริงซึ่งวิญญาณอันมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดาว่า วิญญาณ
มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา. ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่ง
วิญญาณอันมีความเกิดขึ้น และความเสื่อมไปเป็นธรรมดาว่า วิญญาณ
มีความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ดูก่อนภิกษุ นี้เรียกว่า
อวิชชา และบุคคลเป็นผู้ประกอบด้วยอวิชชาด้วยเหตุเพียงเท่านี้.

[321] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุนั้น
ทูลถามคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า
วิชชา วิชชา ดังนี้ วิชชาเป็นไฉนหนอแล และบุคคลเป็นผู้ประกอบด้วย
วิชชา ด้วยเหตุเพียงเท่าไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าตอบว่า ดูก่อนภิกษุ อริยสาวกผู้ได้
สดับแล้วในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งรูปอันมีความ
เกิดขึ้นเป็นธรรมดาว่า รูปมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ย่อมรู้ชัดตาม
ความเป็นจริง ซึ่งรูปอันมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดาว่า รูปมีความเสื่อม
ไปเป็นธรรมดา ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งรูป อันมีความเกิดขึ้น
และความเสื่อมไปเป็นธรรมดาว่า รูปมีความเกิดขึ้นและความเสื่อมไป
เป็นธรรมดา ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งเวทนา... ย่อมรู้ชัดตาม
ความเป็นจริงซึ่งสัญญา... ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งสังขาร...
ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งวิญญาณ อันมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
ว่า วิญญาณมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่ง
วิญญาณอันมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดาว่า วิญญาณมีความเสื่อมไป
เป็นธรรมดา ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งวิญญาณ อันมีความเกิดขึ้น
และความเสื่อมไปเป็นธรรมดาว่า วิญญาณมีความเกิดขึ้นและความ
เสื่อมไปเป็นธรรมดา ดูก่อนภิกษุ นี้เรียกว่า วิชชา และบุคคลเป็น
ผู้ประกอบไปด้วยวิชชา ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล.
จบ สมุทยธรรมสูตรที่ 1
หมายเหตุ อรรถกถาอวิชชาวรรคที่ 3 ตั้งแต่สูตรที่ 1 ถึงสูตรที่ 10
ท่านแก้รวมกันไว้ โปรดดูตอนท้ายของวรรคนี้

2. สมุทยธรรมสูตรที่ 2



ว่าด้วยความหมายของอวิชชา



[322] สมัยหนึ่งท่านพระสารีบุตร และท่านพระมหาโกฏฐิตะ
อยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน กรุงพาราณสี. ครั้งนั้นแล ท่าน-
พระมหาโกฏฐิตะ ออกจากที่พักในเวลาเย็น ได้เข้าไปหาท่านพระสารีบุตร
ถึงที่อยู่ ฯลฯ ได้ถามท่านพระสารีบุตรว่า ดูก่อนท่านพระสารีบุตร
ที่เรียกว่า อวิชชา อวิชชา ดังนี้ อวิชชา เป็นไฉนหนอแล และบุคคล
เป็นผู้ประกอบด้วยอวิชชา ด้วยเหตุเพียงเท่าไร ?
ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ... ดูก่อนท่านผู้มีอายุ
นี้เรียกว่า อวิชชา และบุคคลเป็นผู้ประกอบด้วยอวิชชา ด้วยเหตุเพียร
เท่านี้แล.
จบ สมุทยธรรมสูตรที่ 2

3. สมุทยธรรมสูตรที่ 3



ว่าด้วยความหมายของวิชชา



[323] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาโกฏฐิตะ
อยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน กรุงพาราณสี ครั้งนั้นแล ท่านพระ-
มหาโกฏฐิตะออกจากที่พักในเวลาเย็น ได้เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่
ฯลฯ แล้วได้กล่าวคำนี้กะท่านพระสารีบุตรว่า ดูก่อนท่านพระสารีบุตร
ที่เรียกว่า วิชชา วิชชา ดังนี้ วิชชาเป็นไฉนหนอแล และบุคคลเป็น
ผู้ประกอบด้วยวิชชา ด้วยเหตุเพียงเท่าไร ?